), เว็บไซต์เดอะแดนดอทคอม เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย ( Medthai) เรื่องที่น่าสนใจ
การรักษาโรคกรดไหลย้อนด้วยยา จะได้ผลดีที่สุดเมื่อมีการอักเสบของหลอดอาหาร ตัวยาลดกรด (Antacids) ใช้สำหรับผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง และยาที่มีประสิทธิภาพในการ รักษากรดไหลย้อนหรืออาการโรคกระเพาะ ที่แพทย์นิยมใช้ในปัจจุบัน คือ ยาลดกรดในกลุ่มโปรตอนปั๊มอินฮิบิเตอร์ (Proton pump inhibitors) โดยการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ 3.
กรดไหลย้อน - อาการที่เกิดในหลอดอาหาร จะมีอาการเจ็บคอ กลืนลำบาก รู้สึกเหมือนมีก้อนอยู่ในลำคอ แสบลิ้นเรื้อรัง จุกแน่นแถวๆ หน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย อาการนี้มักจะเป็นมากขึ้นหลังอาหารมื้อหลัก การโน้มตัวไปข้างหน้า การยกของหนัก หรือ การนอนหงาย ที่สำคัญ คือ จะมีอาการแสบหน้าอก เรอเปรี้ยว รู้สึกเหมือนมีกรดซึ่งเป็นน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก 2. กรดไหลย้อน - อาการนอกหลอดอาหาร จะมีเสียงแหบเรื้อรัง มักมีเสียงแหบตอนเช้าหรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักในเวลากลางคืน หรือ ในบางรายอาจมีอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด หรืออาการเจ็บหน้าอกได้ ดังนั้นหากมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า "กรดไหลย้อน" คุกคามแล้ว วิธีการรักษา โรคกรดไหลย้อน 1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดน้ำหนัก สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เพราะคนอ้วนจะมีความดันในช่องท้องสูง ทำให้ กรดนั้นเกิดการไหลย้อน ได้มาก งดบุหรี่เพราะการสูบบุหรี่จะทำให้เกิดกรดมาก และหูรูดอ่อนแรง ใส่เสื้อหลวมๆ ไม่ควรนอน ออกกำลังกาย หรือ ยกของหนักหลังรับประทานอาหาร งดรับประทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง งดอาหารมันๆ อาหารทอด งดอาหารรสจัด รับประทานอาหารพออิ่ม หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ น้ำอัดลม เบียร์ สุรา นอนหัวให้สูงประมาณ 6-10 นิ้ว โดยหนุนที่ขาเตียง ไม่ควรใช้หมอนหนุนที่ศีรษะ เพราะทำให้ความดันในช่องท้องสูง ผ่อนคลายความเครียด 2.
หลีกเลี่ยงการนอนหลังรับประทานอาหาร หากไม่อยากให้เกิดอาการแน่นท้อง คุณควรหลีกเหลี่ยงพฤติกรรมการนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที เพราะจะทำให้กรดไหลย้อนขึ้นได้ง่าย เป็นผลทำให้เกิดอาการจุกเสียด แน่นท้อง และท้องอืดได้ 2. รับประทานทานอาหารมื้อเย็นให้เร็วขึ้น หลายคนอาจคิดว่ามื้อเย็นจะรับประทานดึกแค่ไหนก็ได้ ซึ่งความจริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีในการรับประทานอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในช่วง 2-3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลดการเกิดอาการ กรดไหลย้อน แต่หากคุณยังเกิดอาการท้องอืดอยู่ ลองขยับเวลาอาหารมื้อสุดท้ายให้เร็วขึ้นอีกราว 1-2 ชั่วโมง 3. หลีกเลี่ยงการเคี้ยวหมากฝรั่งปริมาณมาก หมากฝรั่งมักมีส่วนผสมของน้ำตาลเทียม เช่น ไซลิทอล ( Xylitol) และซอร์บิทอล (Sorbitol) ซึ่งน้ำตาลชนิดนี้จะดึงน้ำเข้ามาในลำไส้ และทำให้เกิดแก็สได้โดยแบคทีเรีย จึงทำให้มีอาการท้องอืดขึ้น 4. หมั่นเดินเล่นหลังจากรับประทานอาหาร การเดินเล่นประมาณ 5-10 นาทีหลังจากรับประทานอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยป้องกันการเกิดอาการท้องอืดได้ เพราะวิธีนี้จะช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 5. รักษามาตรฐานของน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน มกมีความดันในช่องท้องมากกว่าคนทั่วไป ซึ่งความดันในช่องท้องนี้จะทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อน แน่นท้อง จุกเสียดได้ 6.
21 มิลลิกรัม, ธาตุโมลิบดีนัม 0. 125 มิลลิกรัม, ธาตุโบรอน 2. 07 มิลลิกรัม, กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) 0. 5 มิลลิกรัม ผักกาดขาวเป็นผักที่มีเส้นใยสูงมาก โดยเส้นใยที่ว่านี้เป็นเส้นใยที่ไม่ละลายน้ำ แต่จะพองตัวเมื่อมีน้ำ จึงมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดี ซึ่งการอุ้มน้ำได้ดีนี้จะช่วยเพิ่มปริมาตรของกากอาหาร ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ทำให้กากอาหารอ่อนนุ่ม ขับถ่ายสะดวก และยังช่วยแก้อาการท้องผูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความหนืด ทำให้ไม่ถูกย่อยได้ง่าย ช่วยดูดซับและแลกเปลี่ยนประจุ จึงช่วยป้องกันและกำจัดสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยดึงเอาสารพิษที่ปนเปื้อนในอาหารที่รับประทาน ช่วยลดความหมักหมมของลำไส้ จึงมีผลทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้เป็นอย่างดี!
หลีกเลี่ยงการรับประทานนม โดยปกติคนแถบเอเชียมักไม่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยนมได้ หรือถ้ามีก็มีในปริมาณน้อย หากคุณสังเกตว่าตนเองมีอาการท้องอืดเป็นประจำหลังจากรับประทานอาหารประเภทนี้ คุณควรงด หรือบริโภคนมทีละน้อย เพื่อให้ทางเดินอาหารค่อยๆ ปรับตัว 11. หลีกเลี่ยงความเครียด ความเครียดมักจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดมากกว่าปกติ และทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานผิดปกติ เช่น ดูดซึมอาหารได้น้อยลง ปริมาณเลือดและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงกระเพาะต่ำลง จึงทำให้เกิดอาการท้องอืด 12.