เขียน e-book การเขียนหนังสือเป็นอีกหนึ่งวิธีการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินทุนเลย เพียงแค่คุณสละเวลาว่าง วันละ 1-2 ชั่วโมง เพื่อเขียนในสิ่งที่คุณรู้ หรือรวบรวมสิ่งที่คุณสนใจแล้วเรียบเรียงใหม่ในแบบฉบับของคุณเอง หลังจากนั้นนำสิ่งที่เขียนในแต่ละวันมารวมกัน แล้วเซฟเป็นไฟล์ PDF เท่านี้เราก็จะได้หนังสือ e-book หนึ่งเล่ม ที่พร้อมที่จะนำไปวางขายตามเว็บไซต์ที่ให้บริการ ไม่ว่าจะเป็น Ookbee, Amazon หรือจะขายเองผ่านโซเชียลต่างๆก็ได้เช่นกัน ราคาขายปลีกหนังสือ และอีบุ๊ค อยู่ที่ประมาณ 150-350 บาท สมมุติคุณขายเล่มละ 300 บาท ผ่าน Ookbee ตลอดทั้งปีขายได้ 5, 000 เล่ม รับส่วนแบ่งในฐานะนักเขียนจาก Ookbee 67. 2% ฉะนั้น ในปีนั้นคุณจะมีรายได้มากถึง 1, 008, 000 บาทเลยทีเดียว 5.
ค่าสมัครรับข้อมูล (Subscription Fee) คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ เช่น วิดีโอ บทความ รายงาน หรือการสัมมนา แล้วเรียกเก็บค่าสมาชิกจากล ูกค้าเป็นรายเดือนหรือรายปี เพื่อเข้าถึงคอนเทนต์เหล่าน ั้น 7. ค่าสิทธิ์ในการใช้สินทรัพย์ ทางปัญญา (Royalty Fee) เป็นเงินที่ลูกค้าจ่ายเพื่อ ใช้ไอเดีย แฟรนไชส์ หรือระบบแพลตฟอร์มของคุณ ลงทุนเพียงครั้งเดียวเพื่อส ร้างทรัพย์สินทางปัญญาของธุ รกิจขึ้นมา ก็สามารถขายได้เรื่อย ๆ 8. ค่าโฆษณา (Advertising Revenue) ถ้าคุณมีสื่อของตัวเองที่มี คนเห็นเยอะ เช่น เว็บไซต์ แฟนเพจ หรือแม้แต่ผนังตึก ก็สามารถขายพื้นที่เหล่านี้ เพื่อการโฆษณาได้ หากมีแผนลงมือทำ แต่ยังขาดเงินทุน ก็เข้ามาปรึกษาเรื่องสินเชื่อกับ Lease It ได้เลยครับ #เรื่องเงินเรื่องใหญ่แต่ไม่ใช่เรื่องยาก ******************************************* ลีซ อิท ให้บริการสินเชื่อสำหรับนิติบุคคล ที่เป็น หจก. หรือ บจก. ลีซ อิท พร้อมให้คำปรึกษาฟรี โทรด่วน 095-783-1595, 02-163-4255 สนใจสมัครสินเชื่อด่วน #ลีซอิท #LeaseIT #SMEโตเร็วกับลีซอิท #LeaseITเคียงข้างSME
ขายสติกเกอร์ไลน์ ใครมีฝีมือด้านกราฟิก ออกแบบตัวละคร ก็สามารถทำสติกเกอร์ขายบน Line Store ได้ สมัครลงขายฟรีใน Line Creators Market ไม่เกี่ยงอายุหรืออาชีพ เพียงลงทะเบียนด้วยบัญชี Line ที่เรามีอยู่ ออกแบบภาพสติกเกอร์ภาพนิ่ง แอนิเมชั่น อิโมจิ หรือตีมโพสต์ขาย ก็จะได้รับส่วนแบ่งสูงสุด 50% ของยอดขาย ทำครั้งเดียวขายได้เรื่อย ๆ สร้าง Passive Income ได้จริง 3. ขาย E-Book ใครชอบงานเขียน ไม่ว่าจะเขียนนิยาย การ์ตูน ตำรา ฮาวทู ก็สามารถทำเป็น E-Book (หนังสืออิเล็กทรอนิก) เพื่อวางขายบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์ม E-Book ต่าง ๆ ได้ (ที่นิยมกันในไทยก็เช่น Ookbee หรือ Meb เป็นต้น) อุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็ไม่มีอะไรมาก แค่คอมพิวเตอร์สักเครื่อง โปรแกรม Microsoft Word โปรแกรมแต่งภาพสำหรับจัดหน้าหนังสือ และไอเดียในการเขียน โดยรายละเอียดของหน้ากระดาษก็จะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละเว็บไซต์ เมื่อมีคนดาวน์โหลดหนังสือของเรา ก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากเว็บไซต์เข้ามาเป็นระยะ ๆ 4. ทำเว็บไซต์ ให้เช่าพื้นที่โฆษณา สำหรับคนที่มีเว็บไซต์ของตัวเองอยู่แล้ว สามารถหารายได้เสริมจากการให้เช่าพื้นที่โฆษณาบนเว็บไซต์ ที่นิยมกันทั่วไปก็จะเป็นระบบ Google AdSense ที่ Google จะเช่าพื้นที่หน้าเว็บไซต์เพื่อเผยแพร่โฆษณาแบนเนอร์ต่าง ๆ เมื่อมีคนคลิกโฆษณานั้น ก็จะแบ่งรายได้ให้เจ้าของเว็บไซต์ตามจำนวนยอดคลิก บางเว็บไซต์มีคนเข้าเยอะ ก็มีโอกาสทำเงินโดยไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก เป็นรายได้เสริมเข้ามาค่อนข้างสม่ำเสมอตราบใดที่ยังมีคนเข้าชมเว็บของเราอยู่ 5.
เงินปันผลจากหุ้น เมื่อเรานำเงินไปลงทุนในหุ้น บริษัทจะจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นตามนโยบายที่กำหนดไว้ โดยเราสามารถย้อนดูประวัติการจ่ายปันผลของแต่ละบริษัทได้จากเวบไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือถ้าให้แคบลงก็สามารถเลือกลงทุนใน 30 บริษัทที่อยู่ใน SETHD ซึ่งเป็นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีอยู่ในเกณฑ์ดีและสม่ำเสมอ ตัวอย่าง เงินปันผลของ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด [INTUCH] ปี 2557 ปันผล 5. 40% ปี 2558 ปันผล 8. 44% ปี 2559 ปันผล 9. 31% ปี 2560 ปันผล 8. 18% ในช่วง 4 ปีย้อยหลัง(2557-2560) INTUCH ให้ผลตอบแทนเฉพาะในส่วนของเงินปันผลเฉลี่ย ปีละ 7. 8% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่น่าพอใจเลยใช่ไหมค่ะ แต่นอกจากเงินปันผลแล้ว ตลาดหุ้นยังมีผลตอบแทนในรูปของส่วนต่างราคา หรือเรียกว่า Capital gain ซึ่งทำให้ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ หรือขาดทุนจนใจหายใจคว่ำได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้น INTUCH ในปี 2558 ในราคา 52 บาท แล้วขายหุ้นในปี 2560 ที่ราคา 56. 25 บาท คุณจะได้กำไรจากส่วนต่างราคา 8. 17% แต่ในทางกลับกัน หากคุณซื้อหุ้น INTUCH ที่ราคา 78. 75 บาท ในปี 2557 แล้วขายออกในปี 2560 ที่ราคา 56. 25 บาท คุณจะขาดทุนทันที -28.